จากบทความในนิตยสาร Aqua เล่มที่ 18 นะครับ – สำหรับเก็บงานเขียนใน Aro4u และเพื่อนสมาชิกที่ยังไม่เคยอ่าน รวมถึงท่านที่เห็นภาพสีไม่ครบถ้วนจุใจทุกท่านนะครับ
ตั้งแต่สมัยที่ผมเริ่มเลี้ยงปลามังกรใหม่ๆ ก็เมือประมาณ 12 ปีที่แล้ว ตอนนั้นชื่อและสายพันธุ์ของปลายังมีไม่มากเท่าไหร่นักเท่าที่รู้จักก็มี ทองมาเลย์ / ทองมาเลย์ Blue Base / ทองอินโด / Super Red / Red B / มังกรเขียว / ทองอ่อน / ออสเตรเลีย / มังกรเงิน และ มังกรดำ แต่เดี๋ยวนี้ตลาดปลาเปลี่ยนแปลงไปมากครับ แต่ละสายพันธุ์ก็มีชื่อแตกแยกย่อยลงไปอีกอย่างเช่น ทองมาเลย์… ทองมาเลย์ Blue Base… ทองมาเลย์ เกรดพิเศษ… ทองมาเลย์ Blue Base เกรดพิเศษ… Golden Head… Super Red… Super Red เกรดพิเศษ… Violet Fusion Super Red (ต้นตำหรับของปลาแดงเนื้อเกล็ดสีม่วงตัดขอบแดง)… Red Splendor (ลูกผสมทองมาเลย์ x แดง) … ทองอินโด… Hiback… Red B… Red B 1.5… ทองอ่อนอินโด… ทองอ่อนมาเลย์… ทองหางเหลือง และอีกหลายสายพันธุ์ ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงชื่อของแต่ละตัวที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาให้ฟังดูสวยหรูไพเราะเสนาะหู
และเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วราคาที่เสนอขายก็มีการแบ่งเกรดแบ่งชั้นกันอย่างชัดเจน ตัวนี้ราคาเท่านี้ ชื่อนี้ราคาเท่านั้น เกรดนั้นราคาเท่าโน้น ถ้าเป็นปลาระดับรองลงมาอย่างทองอินโดหรือ Hiback ที่นักเลี้ยงปลาฐานะทั่วไปพอจะเป็นเจ้าของครอบครองได้ก็คงไม่เสียวสันหลังเท่าไหร่ เพราะแต่ละท่านก็คงศึกษาข้อมูลมามากพอแล้ว ที่สำคัญคือได้เห็นปลาใหญ่ที่โตเต็มที่ไม่น้อยทั้งจากในหนังสือ ตัวจริง และในเวบปลาสวยงามทั่วไป ดังนั้นปลาเล็กที่เขาเลือกซื้อมาจึงสามารถคาดหวังได้ว่าโตขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร ? แต่กับปลาราคาแพงสิครับ จะมีซักกี่รายที่ซื้อไปแล้วโตขึ้นมาจะได้สีสันตามชื่อที่ป้ายบอกระบุไว้จริง ? ครั้นจะซื้อแบบเฉลยเห็นสีสันชัดเจนแล้วก็จ่ายไม่ไหว เพราะลำพังแค่ตัวนิดเดียวก็หลายหมื่นบาทละ ! พอเจอตัวใหญ่ ราคานี่คงไม่ต้องถาม หลักแสนแน่ๆ…
วันนี้มังกรหรรษาของผมมาในรูปแบบแปลกซักหน่อยนะครับ เพราะเป็นการพูดถึงปลาสายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมกันอยู่ในตอนนี้ ให้เพื่อนๆ ได้เห็นมุมมองของผม ลองไปคิดตามว่าปลาสายพันธุ์ไหนที่ตอนนี้กำลังมาแรง ? เรตราคาเป็นยังไง ? คุ้มไหมที่จะซื้อ ? แล้วสามารถคาดหวังได้หรือไม่ ? ชื่อปลานั้นแปลว่าอะไร ? น่าเชื่อถือหรือไม่ ? ลักษณะของปลาเล็ก ? หน้าตาของปลาใหญ่ ?… ทั้งหมดนี้เพื่อนๆ ผู้อ่านจะได้พบคำตอบในมังกรหรรษาตอนนี้ กับตอนที่ชื่อว่า
“VFSR & Blue Base MG … ทีเด็ดมังกรสีม่วง”
NOTE : บทความ “มังกรหรรษา” ตอนนี้เขียนขึ้นเป็นพิเศษเพื่อกล่าวถึงความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องสายพันธุ์ปลามังกรที่กำลังอยู่ในกระแสความนิยม ข้อความดังกล่าวข้างในไม่ได้มีเจตนาพาดพึงหรือกระทบกระทั่งให้บุคคลอื่นเกิดความเสียหาย หากมีบางส่วนในความนี้ผิดพลาดในความรู้สึก หรือขัดแย้งกับความคิดเห็นของท่านผู้อ่าน ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
… Blue Base Xback …
เมื่อก่อนนี้ทองมาเลย์ที่เห็นในท้องตลาดทั่วไปจะเป็นทองมาเลย์ Gold Base ครับ คือสีจะเป็นสีทองทั่วตัว แต่เนื้อสีในเกล็ดจะเป็นสีน้ำตาลดำ หรือถ้าสวยหน่อยเนื้อสีก็จะเป็นสีทองทั้งแผ่น แต่สีของเครื่องครีบจะตัดกับสีตัวเช่นสีน้ำตาล สีเลือดหมู หรือสีส้มอมแดง ส่วนทองมาเลย์ Blue Base จะไม่ค่อยมีมาให้เห็น ดังนั้นจึงเรียกว่าเป็นของหายาก และเมื่อเป็นของหายากแต่ละตัวจึงมีราคาสูงมาก Gold Base ธรรมดาเปิดราคาอยู่ที่ประมาณ 35,000 บาท แต่ Blue Base จะอยู่ที่ประมาณ 45,000 -50,000 บาท
แม้ราคาจะสูงกว่ามาก แต่ความเป็น Blue Base ที่ทางร้านเสนอขายมักไม่ค่อยมีลวงสายตาผู้ซื้อ จะ Blue ก็ Blue ให้เห็นจะๆ ชัดเจน ไม่มีการจัดสภาพแวดล้อมหรือการใช้แสงของหลอดไฟมาช่วยให้ดูเป็น Blue Base ที่สำคัญก็คือชื่อ Blue Base มีเพียงคำเดียวที่เรียกติดปากนั่นก็คือ “ทองมาเลย์ Blue Base” ต่างกับปัจจุบันนี้ที่มีชื่อเรียกต่างๆ มากมายตัวอย่างเช่น Electric Blue Cross Back… Blue Base Malaysian Golden… Special Grade Blue Base Cross Back… Sapphire Gold Cross Back… จนเกิดคำถามกันเองระหว่างผู้ซื้อมือใหม่ว่า Blue Base ที่คุณเลี้ยงอยู่เป็น Blue Base แบบไหน ? หรือเขียนตามใบเซอร์ว่าอะไร ?
NOTE : ผมขอเรียกปลาที่มีโทนสีของเกล็ดเป็นสีม่วงและสีฟ้ารวมกันว่า Blue Base นะครับ เพื่อไม่ต้องการแบ่งแยกเป็นสายพันธุ์อื่นให้ยุ่งยากสับสนขึ้นไปอีก
ในขณะที่มือใหม่หลายท่านกำลังหลงกระแสไปกับชื่อสายพันธุ์ต่างๆ ของ Blue Base ที่เขียนระบุไว้ในใบรับรอง โดยที่ตัวปลายังไม่สามารถดูออกได้ว่า Blue จริงหรือไม่ ? หรือ Blue มากน้อยแค่ไหน ? จริงอยู่ครับที่ทางฟาร์มเพาะเลี้ยงต้องมีความรู้อย่างมหาศาลในการแบ่งคัดเลือกปลา แต่การตลาดมันมีส่วนเข้ามาเกี่ยวทำให้เกิดการแบ่งเกรดแบ่งชั้นขึ้นมา… ตัวนี้ Blue มาก เอ้า ! ไปเป็นเกรดพิเศษไป ตัวนี้ Blue น้อยหน่อยก็ไปเป็นเกรดธรรมดาละกัน ความ Blue มาก Blue น้อยอย่างที่เห็นนั้นเราไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนหรอกครับเพราะตัวปลามีขนาดเล็กมาก ผู้ที่สามารถแบ่งแยกออกได้ก็คือผู้มีประสบการณ์อันยาวนานในการคัดเลือกปลาเท่านั้น ส่วนมือใหม่และผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็มีเพียง “ดวง” และ “ความเชื่อใจ” ในตัวผู้ขายเท่านั้นที่พอจะช่วยเราได้เลือกปลาสวยสมเป็น Blue Base จริงๆ มาเลี้ยงได้
เป็นเพราะกระแสความนิยมในตัว Blue Base มีมากขึ้น ในช่วงแรกจึงดูเหมือนจะทำให้ทองมาเลย์สี Gold Base มีราคาต่ำลง แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ต่ำลงหรอกครับ เพียงแต่ Blue Base มีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมมาก และความนิยมนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงบ้านเราเท่านั้น ในตลาดโลกก็เช่นกัน และเมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ผู้ผลิตให้ความสำคัญทองมาเลย์ Blue Base มากขึ้น… ราคาปลาในตลาดนอกผมไม่มั่นใจมากนักว่าสูงหรือต่ำแค่ไหน แต่สำหรับบ้านเรา Blue Base จะมีราคาสูงมากครับนั่นเพราะหายากกว่า แต่พอมาปัจจุบันเดินเข้าออกร้านไหนก็ต้องเจอ Blue Base แทบทุกร้าน และราคาก็ยังแรงอยู่เรื่อยๆ โดยที่ไม่มีวี่แววว่าจะลดหลั่นลงมา (ราคาที่เคยขึ้นแล้วส่วนใหญ่จะลงไม่ได้) เพราะลูกค้าให้ความสนใจมากเป็นพิเศษตอนนี้เลยกลายเป็นว่า Blue Base มีเกลื่อนตลาด ในขณะที่ Gold Base เริ่มหายๆ นานเข้าปลา Gold Base ก็เป็นปลาหายากและราคาก็เพิ่มทวีสูงขึ้น การตลาดมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ทีใครทีมัน
แต่ Blue Base ที่มีอยู่นั้นยังแบ่งแยกได้อีกหลายขั้น… Blue Base ธรรมดาตอนนี้ราคาประมาณ 45,000 บาท สำหรับเกล็ดที่เปิด 4 แถวประปราย แต่ถ้าขึ้นมาจนถึงแถวที่ 5 ราคาจะโดดสูงขึ้นเป็น 60,000 บาท พร้อมกับชื่อที่ฟังดูดีขึ้น (ถ้าสีเข้มก็อาจจะสูงถึง 65,000 บาท) ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าตัวไหนมีเกล็ดละเอียดใต้ครีบหลังเปิดให้เห็นแล้วล่ะก็ ราคาระเบิดเถิดเทิงเลย เปิดประเดิมกันที่ 75,000 บาทสำหรับขนาดไม่เกิน 8 นิ้ว… แล้วถ้ายิ่งเป็นสีม่วงเข้ม Thin Frame (ขอบเกล็ดเป็นสีทองบางๆ) ให้เห็นชัดแล้วล่ะก็ เล็กๆ มากันที่นึงว่ากันสูงถึง 85,000 บาทเลยเชียวล่ะครับ !
แต่ถ้าหากบอกว่าเรื่องราคาไม่เป็นไร แต่สนใจการเลือกซื้อปลามากกว่า อยากได้ของแท้ไม่ใช่ของเทียมจะมีวิธีดูยังไง ?… การจะเลือกซื้อ Blue Base จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก ขอให้ตาไม่บอดสีและหูไม่เบาแบบหลงเชื่อคนง่ายก็พอครับ จากนี้ไปก็จะเป็นส่วนของสังเกตลักษณะของปลา สำหรับมือเก่าหรือผู้ที่มีความรู้ย่อหน้านี้อาจไม่มีประโยชน์อะไร แต่สำหรับมือใหม่ลองอ่านดูหน่อยละกันครับ อย่างน้อยผมก็เชื่อว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับท่านๆ บ้าง
=> เรื่องฟอร์มผมไม่พูดถึงเพราะไม่ใช่สาระสำคัญในการดูสีปลา ปลาที่เรียกว่า Blue Base นั้นสีสันของมันตั้งแต่ในวัยเล็ก (ไม่น้อยกว่า 4”) ควรจะมีสีม่วงในเนื้อเกล็ด หรือออกเป็นสีม่วงเวลาที่เกล็ดอยู่ภายใต้แสงไฟ (จะให้ Blue จริงต้องม่วงต้องฟ้าคาตานะครับไม่ใช่ดูสีเหลือบ) แต่ถ้าเป็นสีม่วงอ่อนๆ ปลาตัวนั้นอาจจะเป็น Gold Base แล้วเนื้อในสีฟ้าก็ได้เมื่อโตขึ้น สีหางและเครื่องครีบทั้งหมดของ Blue Base ส่วนใหญ่จะเป็นสีเลือดหมูเข้ม ตาสีเข้ม (ยิ่งถ้าเป็นสีแดงก่ำก็จะยิ่งดี) ที่สำคัญปลาสายนี้ส่วนใหญ่ “เปิดต่ำ” และ “ข้ามหลังช้า” ดังนั้นอย่าไปสนใจกับการเปิดของเกล็ดมาก ให้ดูที่ Base เป็นหลักก็พอครับ แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเกรดของปลาตัว ปลาที่ดูออกว่าเป็น Blue Base ยากจะมีราคาถูกเพราะเป็นเกรดธรรมดา แต่ปลาที่ดูง่ายใครเห็นใครก็รู้ก็จะมีราคาสูงเพราะ Blue แท้ Blue แน่นอน
ใครรักใครชอบ Blue Base ก็เลี้ยงก็หากันต่อไปนะครับ แต่ว่าอย่าลืมคำของผมเชียวล่ะ ! จะให้เป็น Blue Base แท้ต้อง ! ต้อง ! ต้อง !… ถูกแล้วครับ ต้องให้ Blue คาตาไม่ใช่ Blue คาใบเซอร์ หรือ Blue ตามคำบอกของคนขาย จะตัดสินใจที่จะซื้อปลาระดับนี้แล้วคงต้องศึกษากันมาก่อนไม่น้อยแล้วล่ะ ? ส่วนเรื่องราคาก็ต้องพิจารณากันเอาเองนะครับ เพราะสิ่งที่ผมให้ข้อมูลไว้นั้นเป็นเพียงการไกด์ราคาเฉยๆ จะถูกจะแพงก็ขึ้นอยู่กับร้าน กับฟาร์มเพาะ กับเกรดของปลา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้วว่าจะเลือกปลาแบบไหน ในงบประมาณเท่าไหร่ ?